8 Disruptive Technologies ที่จะมาพลิกโฉมโลกธุรกิจใน 5 ปีข้างหน้า


Deep Dive Insights

การเข้ามาของเทคโนโลยี ทำให้โลกธุรกิจถูก Disrupt อยู่เรื่อยมา จากยุคพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ จากยุคการชมภาพยนตร์ผ่าน DVD สู่แพลตฟอร์ม Video Streaming ในโลกอนาคตยุคหลังโควิดนี้ Disruptive Technology ก็ยังคงเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อไป แต่สิ่งที่เพิ่มมา คือ ความรวดเร็ว (Speed) และความรุนแรง (Intensity) ของการเปลี่ยนผ่านที่มากกว่าเดิม 

Disruptive Technology คืออะไร ? 

Disruptive Technology คือ เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใหม่ ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ จนสามารถแทนที่ผลิตภัณฑ์ หรือเทคโนโลยีเดิมในตลาดได้สำเร็จ ตัวอย่างของ Disruptive Technology เช่น Grab ธุรกิจที่นำเอา Mobile Application มาผนวกเข้ากับ Real-time Geolocation เกิดเป็นแพลตฟอร์มการเรียกรถแบบ On-Demand เข้ามาแก้ปัญหา Pain Points ในการเรียกรถแบบเดิม  

ทุกวันนี้หลายองค์กร เมื่อต้องคิดกลยุทธ์ในการทำ Digital Transformation มักให้น้ำหนักกับ Emerging Technology หรือเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่ดูล้ำสมัยมากกว่าที่ควรเป็น เพราะกระแสและสื่อสร้างความตื่นเต้นเรื่องนี้ไว้มาก แต่ถ้ามองความเป็นจริงที่ผ่านมา จะพบว่าเทคโนโลยีที่มักมา Disrupt อุตสาหกรรมได้จริง จะต้องมีความพร้อมระดับนึงก่อน ถึงจะเข้ามาพลิกเกมที่มีอยู่แล้วได้แบบ Disruptive ในขณะที่เทคโนโลยีหลายตัวก็มักเงียบหายหลังจากที่เป็นกระแสอยู่พักนึง ทำให้มีความเสี่ยงในการลงทุนลงแรงหากวางโจทย์ล้ำเส้นเกินไป   

ใน Hype Cycle ของ Gartner ได้แบ่ง Phase ของเทคโนโลยีออกเป็น 5 ช่วงเวลา ตั้งแต่ Phase ที่เทคโนโลยีถูกค้นพบไปถึง Phase ที่เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย ในช่วงแรกที่เทคโนโลยีถูกค้นพบ (Innovation Trigger) ความคาดหวัง (Expectation) ที่คนทั่วไปมีต่อเทคโนโลยีนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก มากจนขึ้นไปแตะจุด Peak of Inflated Expectations จนต่อมาความคาดหวังนั้นจะเริ่มลดลง และเข้าสู่ Phase ที่เรียกว่า Trough of Disillusionment ซึ่งหลังจากช่วงนี้ไปถ้าเทคโนโลยีไหนสามารถอยู่รอดและได้รับการพัฒนาต่อ ก็จะเข้าสู่ช่วง Slope of Enlightenment ที่เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายต่อไป

ทำไมองค์กรถึงควรโฟกัสที่ Disruptive Technology ? 

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า Emerging Technology กับ Disruptive Technology เป็นสิ่งเดียวกัน ทั้งที่ความจริงทั้งสองสิ่งนี้มีความต่างกัน โดย Emerging Technology จะเป็นเทคโนโลยีที่ยังใหม่มาก ๆ และไม่พร้อมที่ใช้งานจริง เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้ยังมีช่องว่างที่ต้องพัฒนาอีกมาก เปรียบเหมือนเทคโนโลยีที่อยู่ในช่วง Innovation Trigger ในแผนภาพ Gartner Hype Cycle  

ดังนั้น องค์กรจึงควรมองหาเทคโนโลยีที่มีความพร้อมและสามารถนำมาใช้ได้จริง ด้วยเหตุนี้ FRONTIS จึงได้นำประสบการณ์ด้านการวางแผนและพัฒนาเทคโนโลยีให้องค์กรชั้นนำ มารวบรวมและกลั่นออกมาเป็น 8 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญที่จะพลิกโฉมโลกธุรกิจในอีก 5 ปีต่อจากนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สำหรับองค์กรที่กำลังหาแนวทางทำ Digital Transformation ต่อไป 

1. Cloud by Default  

ก่อนหน้านี้ Cloud ยังไม่ค่อยได้รับความนิยม องค์กรส่วนใหญ่มองว่า Cloud มีข้อดีแค่ในแง่ Infrastructure ที่บริหารจัดการง่าย และสามารถปรับขนาดระบบเพื่อรองรับภาระงานที่เพิ่มขึ้นได้ (Scalability) ต่างจากทุกวันนี้ที่หลายองค์กรเริ่มหันมาใช้ Cloud เพื่อให้ได้มาซึ่ง Speed to Innovation โดยในอนาคตข้างหน้าคาดว่าจะมีมากกว่า 50% ของภาครัฐและภาคเอกชนที่เปลี่ยนมาใช้ Cloud 

2. Hybrid Workplace  

ในยุค Hybrid Work พนักงานต้องติดต่อคุยงานผ่านทางออนไลน์เป็นหลัก หลายองค์กรจึงรวมศูนย์แพลตฟอร์มให้เป็นหนึ่งเดียว เร่งผลักดันให้เกิด “Experience Platform” หรือ อาจเรียกได้ว่าเป็น “Employee Super App” เพื่อให้พนักงานได้ใช้เวลากับเรื่องที่สำคัญและสร้างมูลค่าให้กับองค์กร (Value Added Activities) มากกว่าการจมอยู่กับขั้นตอนอันยุ่งยากซับซ้อนของระบบต่าง ๆ 

3. Cyber Security Focus 

ก่อนหน้านี้ Agenda เรื่อง Cyber Security เป็นเรื่องที่ถูกพูดคุยกันแค่ภายในทีมที่ดูแลเรื่อง IT ขององค์กร แต่ทุกวันนี้การลงทุนในระบบ Cyber Security กลายมาเป็นเรื่องสำคัญที่ถูกผนวกเข้ามาในแผนการดำเนินงานหลักของธุรกิจ และเป็นเรื่องที่ทุกคนในองค์กรต้องตระหนัก และร่วมกันสร้างความปลอดภัยทาง Cyber ขององค์กร ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ 

4. Data & AI Maturity  

ในยุคแห่ง Data และ AI ที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ “Data” กลายเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงที่สุด หากธุรกิจไม่เริ่มเก็บข้อมูลลูกค้าและนำข้อมูลเหล่านั้นมาทำ Data Analytics ไม่ช้าก็เร็ว ก็จะถูกธุรกิจใหม่ที่มีข้อมูลพร้อมกว่า แซงหน้าไปโดยไม่รู้ว่าจะแก้เกมได้อย่างไร  

5. Edge Computing & IoT 

ยุคของ Internet of Thing (IoT) ที่อุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกเชื่อมโยงเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต การประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Edge Computing จะช่วยลดเวลาในการเข้าถึงข้อมูล และช่วยให้การวิเคราะห์และประมวลผลสามารถทำได้แบบ Real-Time ซึ่งในอนาคตสิ่งนี้จะมีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ 5G เกิดการใช้งานแพร่หลาย และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีพลิกโฉมไปเป็นรูปแบบ Real-Time Automation มากขึ้น 

6. Blockchain cross Industries 

หลายคนจะมีภาพจำว่า Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่อยู่คู่กับวงการ Cryptocurrency จนเข้าใจไปว่าประโยชน์ของ Blockchain ถูกจำกัดไว้เพียงการใช้ในอุตสาหกรรมการเงินเท่านั้น ทั้งที่ในความจริง Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ และสามารถเอาไปยอดใน Use Case อื่น ๆ ได้อีกมาก โดยเฉพาะการนำ Blockchain มาช่วยทำ Digital Transformation ในองค์กร 

7. Web 3.0, Metaverse  

ในยุคของ Web 2.0 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหลายช่วยให้เราสามารถเป็นได้ทั้งผู้ผลิตและผู้เสพ Content ในเวลาเดียวกัน แต่ภายใต้ Web 2.0 ก็ยังคงมีผู้ให้บริการที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง คอยควบคุมและเก็บข้อมูลการใช้งานที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์ม ด้วยเหตุนี้เลยเกิดเป็นแนวคิดที่อยากพัฒนา Website ที่มีการควบคุมแบบกระจายศูนย์ที่เรียกว่า Web 3.0 ขึ้นมาแทน ส่วน Metaverse จะเป็นการต่อยอดนำ Reality technology ต่าง ๆ มาเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบเดิมให้มีความสมจริงมากขึ้น  

8. Augmented/Virtual/Mixed Reality & Wearables  

เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะช่วยผสมผสานโลกความจริงเข้ากับโลกเสมือน ผ่านการใช้อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ โดยความต่าง คือ AR (Augmented Reality) จะเป็นการสร้างกราฟิกให้ปรากฎบนโลกจริง เหมือนในเกมส์ Pokémon Go ส่วน VR (Virtual Reality) จะเป็นการพาผู้ใช้งานเข้าไปอยู่ในโลกเสมือน และสุดท้าย MR (Mixed Reality) จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยี AR และ VR ตรงที่นอกจากเราจะเห็นภาพกราฟิกปรากฎขึ้นตรงหน้า เรายังสามารถโต้ตอบกับกราฟิกนั้นได้ด้วย 

การ Disrupt ตัวเองก่อนที่จะถูก Disrupt กลายเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้อยู่รอดต่อไป

ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญ คือ Disruptive Technology จะเป็นความเสี่ยงหรือโอกาส ย่อมขึ้นอยู่กับว่า องค์กรและสังคมของเราจะสามารถปรับเปลี่ยนให้เท่าทันต่อโลกของเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วและรุนแรงหรือไม่  เพราะการ Disrupt ตัวเองก่อนที่จะถูก Disrupt กลายเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้อยู่รอดต่อไปได้ในยุค Next Normal 

Reference : The Gartner Hype Cycle for Emerging Technologies, 2021